ประเทศไทย หรือชื่อทางการว่า
ราชอาณาจักรไทย เป็น
รัฐชาติอันตั้งอยู่บน
คาบสมุทรอินโดจีน ในทวีป
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนด้านตะวันออกติด
ประเทศลาวและ
ประเทศกัมพูชา ทิศใต้เป็น
แดนต่อแดนประเทศมาเลเซียและ
อ่าวไทย ทิศตะวันตกติด
ทะเลอันดามันและ
ประเทศพม่า และทิศเหนือผชิดประเทศพม่าและประเทศลาว มี
แม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง ปกครองด้วยระบอบ
ประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภา มีศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ที่
กรุงเทพมหานคร และการปกครองส่วนภูมิภาค จัดระเบียบเป็น
76 จังหวัด[ก]
ประเทศไทยมี
ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก มีเนื้อที่ 513,115
ตารางกิโลเมตร[6] และมี
ประชากรมากเป็นอันดับ 20 ของโลก คือ ประมาณ 66 ล้านคน
[1] กับทั้งยังเป็น
ประเทศอุตสาหกรรมใหม่[7][8][9][10] โดยมีรายได้หลักจากภาคอุตสาหกรรมและการบริการ
[11] ไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นอันมาก อาทิ
พัทยา,
ภูเก็ต,
กรุงเทพมหานคร และ
เชียงใหม่ ซึ่งสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เช่นเดียวกับการส่งออกอันมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ
[12] และด้วย
จีดีพีของประเทศ ซึ่งมีมูลค่าราว 260,000 ล้าน
ดอลล่าร์สหรัฐ ตามที่ประมาณใน พ.ศ. 2552 เศรษฐกิจของประเทศไทยนับว่า
มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 33 ของโลก
ในอาณาเขตประเทศไทย พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี
[13] นักประวัติศาสตร์มักถือว่า
อาณาจักรสุโขทัยเป็นยุคสมัยแรกของคนไทย ซึ่งต่อมาตกอยู่ในอิทธิพลของ
อาณาจักรอยุธยา อันมีความยิ่งใหญ่กว่า เนื่องจากมีการติดต่อกับชาติตะวันตก แต่ก็
ร่วงโรยลงช่วงหนึ่ง อันเนื่องมาจากการขยายอำนาจของพม่านับแต่ พ.ศ. 2054 ก่อนจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง ก่อนเสื่อมอำนาจและ
ล่มสลายไปโดยสิ้นเชิง เมื่อ
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรง
สถาปนาอาณาจักรธนบุรี เหตุการณ์ความวุ่นวายในช่วงปลายอาณาจักร ได้นำไปสู่ยุคสมัยของ
ราชวงศ์จักรีแห่ง
กรุงรัตนโกสินทร์
ในช่วงต้นกรุง ประเทศต้องเผชิญภัยคุกคามจากชาติใกล้เคียง แต่หลังรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ชาติตะวันตกเริ่มมีอิทธิพลในภูมิภาคเป็นอย่างมาก นำไปสู่การเข้าเป็นภาคีแห่งสนธิสัญญาหลายฉบับ และ
การเสียดินแดนบางส่วน กระนั้น ไทยก็ยังธำรงตนมิได้เป็น
อาณานิคมของชาติใด ๆ ต่อมาจนช่วง
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ไทยได้เข้าร่วมกับ
ฝ่ายสัมพันธมิตร และในปี พ.ศ. 2475 ได้มี
การปฏิวัติสยามเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ และไทยได้เข้ากับ
ฝ่ายอักษะในระหว่าง
สงครามโลกครั้งที่สอง จนช่วง
สงครามเย็น ไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับ
สหรัฐอเมริกา และต้องผ่านสมัยรัฐบาลทหารมานานหลายสิบปี กระทั่งมีการตั้งรัฐบาลพลเรือน และเข้าสู่ยุคโลกเสรีในปัจจุบัน
ชื่อเรียก
คำว่า "สยาม" เป็นคำที่ชาวต่างประเทศใช้เรียกอาณาจักรอยุธยา เมื่อราว พ.ศ. 2000
[14] เดิมทีประเทศไทยเองก็เคยใช้ชื่อว่า
สยาม มานับตั้งแต่รัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา โดยปรากฏใช้เป็นชื่อประเทศชัดเจนใน พ.ศ. 2399
[15] แต่ทว่าคนไทยไม่เคยเรียกตนเองว่า "สยาม" หรือ "ชาวสยาม" อย่างชาวต่างชาติหรือตามชื่อประเทศอย่างเป็นทางการในสมัยนั้นเลย
[16] ส่วนคำว่า "คนไทย" นั้น จดหมายเหตุลาลูแบร์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ชาวอยุธยาได้เรียกตนเองเช่นนั้นมานานแล้ว
[17]
ต่อมา เมื่อวันที่
24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ตามประกาศ
รัฐนิยม ฉบับที่ 1 ในสมัยรัฐบาล
จอมพล ป. พิบูลสงคราม (ซึ่งประกาศใช้เมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482)
[18] ได้เปลี่ยนชื่อประเทศ พร้อมกับเรียกประชาชน และสัญชาติจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย"
[19] ซึ่งจอมพล ป. มีเจตนาต้องการบ่งบอกว่าดินแดนนี้เป็นของ
ชาวไทย มิใช่ของเชื้อชาติอื่น ตาม
ลัทธิชาตินิยมในเวลานั้น
[20] โดยในช่วงต่อมาได้เปลี่ยนกลับเป็นสยามเมื่อปี
พ.ศ. 2488[19] แต่ก็ได้เปลี่ยนกลับมาชื่อไทยอีกครั้งเมื่อปี
พ.ศ. 2491 ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี การเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ยังเปลี่ยนจาก "Siam" ใน
ภาษาอังกฤษและ
ภาษาฝรั่งเศส เป็น "Thaïlande" ในภาษาฝรั่งเศส และ "Thailand" ในภาษาอังกฤษอย่างในปัจจุบัน
[16] อย่างไรก็ตาม ชื่อ
สยาม ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ
ชื่อของประเทศไทยในภาษาอังกฤษมักจะถูกจำสับสนกับ
ไต้หวันอยู่บ่อย ๆ
[21]
ภูมิประเทศ ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
ภาพถ่ายประเทศไทยจากดาวเทียม
ประเทศไทยมีขนาดประมาณ 513,115 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นอันดับที่ 50 ของโลก เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในคาบสมุทรอินโดจีน รองจาก
ประเทศอินโดนีเซียและ
ประเทศพม่า และมีขนาดใกล้เคียงกับ
ประเทศสเปนมากที่สุด
ประเทศไทยมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย
ภาคเหนือเป็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับซับซ้อน จุดที่สูงที่สุดในประเทศไทย คือ
ดอยอินทนนท์ ณ 2,565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
[22] รวมทั้งยังปกคลุมด้วยป่าไม้อันเป็นต้นน้ำลำธารที่สำคัญของประเทศ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของที่ราบสูงโคราช สภาพของดินค่อนข้างแห้งแล้งและไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกนัก
แม่น้ำเจ้าพระยาเกิดจากแม่น้ำหลายสายที่ไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ
จังหวัดนครสวรรค์ อันได้แก่
แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และ
แม่น้ำน่าน ทำให้
ภาคกลางกลายเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศ และถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
[23] ภาคใต้เป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรไทย-มาเลย์
[24] ขนาบด้วยทะเลทั้งสองด้าน มีจุดที่แคบลง ณ
คอคอดกระ แล้วขยายใหญ่เป็น
คาบสมุทรมลายู ส่วน
ภาคตะวันตกเป็นหุบเขาและแนวเทือกเขาซึ่งพาดตัวมาจากทางตะวันตกของภาคเหนือ
แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขงถือเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศไทย การผลิตของอุตสาหกรรมการเกษตรจะต้องอาศัยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จากแม่น้ำทั้งสองและสาขาทั้งหลาย
อ่าวไทยกินพื้นที่ประมาณ 320,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา
แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และ
แม่น้ำตาปี ซึ่งเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เนื่องจากน้ำตื้นใสตามแนวชายฝั่งของภาคใต้และคอคอดกระ อ่าวไทยยังเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมของประเทศ เนื่องจากมีท่าเรือหลักใน
สัตหีบ และถือได้ว่าเป็นประตูที่จะนำไปสู่ท่าเรืออื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ส่วน
ทะเลอันดามันถือได้ว่าเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่ามากที่สุดของไทย เนื่องจากมีรีสอร์ตที่ได้รับความนิยมอย่างสูงใน
ทวีปเอเชีย รวมไปถึง
จังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดตรัง และหมู่เกาะตามแนวชายฝั่งของทะเลอันดามัน ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะมาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ
ภูมิอากาศของไทยเป็นแบบเขตร้อน หรือแบบสะวันนา มีอุณหภูมิเฉลี่ย 18-34
°C และมีปริมาณฝนตกเฉลี่ยตลอดปีกว่า 1,500 มิลลิเมตร สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ฤดูกาล: อากาศร้อนระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนเป็น
ฤดูร้อน; ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จาก
ทะเลจีนใต้เป็น
ฤดูฝน; ส่วนในเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมีนาคม ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจาก
ประเทศจีนเป็น
ฤดูหนาว[25] ส่วน
ภาคใต้มีสภาพอากาศแบบป่าดงดิบ ซึ่งมีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปี จึงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ฤดู: โดยฝั่งทะเลตะวันออก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน และฝั่งทะเลตะวันตก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน
[25]
ประเทศไทยยังคงมี
ความหลากหลายทางชีวภาพของทั้งพืชและสัตว์อยู่มาก อันเป็นรากฐานอันมั่นคงของการผลิตในภาคการเกษตร และประเทศไทยได้มีผลไม้เมืองร้อนหลากชนิด
[23] พื้นที่ราว 29% ของประเทศไทยเป็นป่าไม้ รวมไปถึงพื้นที่ปลูกยางพาราและกิจกรรมปลูกป่าบางแห่ง
[26] ประเทศไทยมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากว่า 50 แห่ง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอีก 56 แห่ง โดยพื้นที่ 12% ของประเทศเป็น
อุทยานแห่งชาติ (ปัจจุบันมี 110 แห่ง
[27]) และอีกเกือบ 20% เป็นเขตป่าสงวน
[26] ประเทศไทยมีพืช 15,000 สปีชีส์ คิดเป็น 8% ของสปีชีส์พืชทั้งหมดบนโลก
[28] ในประเทศไทย พบนกจำนวน
982 ชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และสัตว์เลื้อยคลานกว่า 1,715 สปีชีส์ซึ่งได้รับการบันทึก
[29]
ประวัติศาสตร์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
เครื่องปั้นดินเผาซึ่งถูกพบใกล้กับ
บ้านเชียง สันนิษฐานว่ามีอายุกว่า 2,000 ปี
ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในอดีต พื้นที่ซึ่งเป็นประเทศไทยในปัจจุบันได้มีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่
ยุคหินเก่าเป็นต้นมา คือ ราว 20,000 ปีที่แล้ว ภูมิภาคดังกล่าวได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมและทางศาสนาจากอินเดีย นับตั้งแต่
อาณาจักรฟูนัน เมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 แต่สำหรับรัฐของคนไทยแล้ว ตามตำนานโยนกได้บันทึกว่า การก่อตั้งอาณาจักรของคนไทยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อราว
พ.ศ. 1400[30]
อาณาจักรสุโขทัย
ภายหลังจากการล่มสลายของ
จักรวรรดิขะแมร์ เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13
[31] ทำให้มีรัฐเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลาไม่นานนัก อาทิ
ชาวไท มอญ เขมรและมาเลย์ นักประวัติศาสตร์ไทยเริ่มถือเอาสมัย
อาณาจักรสุโขทัย นับตั้งแต่
พ.ศ. 1781 เป็นจุดเริ่มต้นของ
ประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งตรงกับสมัยรุ่งเรืองของ
อาณาจักรล้านนา และ
อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรสุโขทัยขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัย
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช แต่เริ่มอ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์ การรับพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์เข้ามา ทำให้อาณาจักรสุโขทัยเริ่มมีการปกครองแบบธรรมราชา
อาณาจักรอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น
พระเจ้าอู่ทองทรงก่อตั้ง
อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรของชนชาติไทยขึ้น ในปี พ.ศ. 1893 มีการปกครองแบบ
สมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งยึดมาจากหลักของ
ศาสนาพราหมณ์ การเข้าแทรกแซงสุโขทัยอย่างต่อเนื่องทำให้อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา ต่อมา ในรัชสมัยของ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระร่วงเจ้าสุโขทัย คนสุดท้าย
พระยายุทธิษฐิระ เอาใจออกห่างไปเข้ากับ
อาณาจักรล้านนาในรัชสมัยของ
พระเจ้าติโลกราช พระองค์จึงทรงไปประทับอยู่ที่
เมืองพิษณุโลกและทำสงครามกับอาณาจักรล้านนาเป็นเวลาหลายปี นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงปฏิรูปการปกครองใหม่ ซึ่งบางส่วนได้ใช้มาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
การยึดครอง
มะละกาของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2054 ตรงกับรัชสมัยของ
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทำให้อยุธยาเริ่มการติดต่อกับชาติตะวันตก
[32] ในขณะเดียวกัน
ราชวงศ์ตองอูของพม่าเริ่มมีอำนาจมากขึ้น จึงนำมาสู่การขยายดินแดนมายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของ
พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้และ
พระเจ้าบุเรงนอง การสงครามอันยืดเยื้อนับสิบปี ส่งผลให้
อยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอูใน พ.ศ. 2112
[33] สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้เวลา 15 ปีเพื่อสร้างภาวะครอบงำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งหนึ่ง
[34]
จากนั้น กรุงศรีอยุธยาได้กลายมาเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด
[35] ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชสมัย
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับ
ฝรั่งเศส,
ดัตช์, และ
อังกฤษ อย่างไรก็ตาม อิทธิพลซึ่งเพิ่มมากขึ้นของชาวต่างชาติในกรุงศรีอยุธยา ทำให้
พระเพทราชาประหารชีวิต
คอนสแตนติน ฟอลคอน[36] ความขัดแย้งภายในทำให้การติดต่อกับชาติตะวันตกซบเซาลง
[37]
อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอำนาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 การสงครามกับ
ราชวงศ์คองบองส่งผลให้
อยุธยาถูกปล้นสะดมและเผาทำลาย เมื่อปี
พ.ศ. 2310 ในปีเดียวกัน
พระยาตากได้
รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี ซึ่งเป็น
เมืองหลวงของคนไทยเป็นเวลานาน 15 ปี ถือเป็นช่วงเวลาของการทำสงครามและการฟื้นฟูความเจริญของชาติ จนกระทั่ง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่ง
ราชวงศ์จักรี ได้สถาปนา
กรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325
ในช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยเผชิญกับการรุกรานจากชาติเพื่อนบ้านหลายครั้งจนกระทั่งรัชกาลที่ 4 พระราชนโยบายของพระมหากษัตริย์ในช่วงนี้ คือ การป้องกันตนเองจากมหาอำนาจอาณานิคม แต่ก็ส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ เทคโนโลยีตะวันตก และการศึกษาอันทันสมัย
[38]
การเผชิญหน้ากับชาติตะวันตก
การสูญเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศสและอังกฤษ
ในรัชสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เซอร์
จอห์น เบาริ่ง ราชทูตอังกฤษ ได้เข้ามาทำ
สนธิสัญญาเบาว์ริง อันนำมาสู่การทำสนธิสัญญากับชาติอื่น ๆ ด้วยเงื่อนไขที่คล้ายกัน
[39] หากก็นำมาซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจในกรุงเทพมหานครและการค้าระหว่างประเทศ
[40] ต่อมา การคุกคามของจักรวรรดินิยมทำให้สยาม
เสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสและอังกฤษในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่แม้จะถูกกดดันอย่างหนักจากชาติมหาอำนาจ สยามก็ยังสามารถธำรงตนเป็นรัฐเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกเลย หากก็ต้องรับอิทธิพลจากประเทศตะวันตกเข้าสู่ประเทศอย่างมาก จนกระทั่งนำไปสู่การปฏิรูปทางสังคมและวัฒนธรรมในเวลาต่อมา และดำรงบทบาทของตนเป็น
รัฐกันชนระหว่างประเทศเจ้าอาณานิคมทั้งสอง
[41]
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้สยามเข้าร่วม
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับ
ฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ประเทศได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ นำมาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลายเพื่อให้ชาติมี
อธิปไตยอย่างแท้จริง แต่กว่าจะเสร็จก็ล่วงถึงรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล[42]
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเย็น
วันที่
24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มี
การปฏิวัติ ซึ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็น
ระบอบประชาธิปไตย ทำให้
คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็น
พันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร แต่เนื่องจากประเทศ
ฝ่ายสัมพันธมิตรให้การยอมรับในขบวนการ
เสรีไทย ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม
ในช่วง
สงครามเย็น ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็น
พันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา โดยมีนโยบายในการต่อต้านการขยายตัวของ
คอมมิวนิสต์ในภูมิภาค และส่งทหารไปร่วมรบใน
สงครามเกาหลีและ
สงครามเวียดนาม ต่อมา ประเทศไทยประสบกับ
ปัญหาการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในประเทศ แต่ในภายหลัง
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็กลับอ่อนแอลงจนไม่สามารถปฏิบัติการได้อีก โดยสงครามกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ยุติลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี พ.ศ. 2523
[43]
การพัฒนาประชาธิปไตย
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ใน
ระบอบเผด็จการทหารในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ การเลือกตั้งในปี
พ.ศ. 2516 ภายหลัง
เหตุการณ์ 14 ตุลา ยังให้มีนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนแรก
[ต้องการอ้างอิง] ในช่วงเวลานั้น ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และได้มีการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลทหารผ่าน
รัฐประหารหลายสิบครั้ง อย่างไรก็ดี มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญถึงสองครั้งใน
เหตุการณ์ 6 ตุลา และ
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศไทยจึงมั่นคงยิ่งขึ้น
[ต้องการอ้างอิง]
พุทธทศวรรษที่ 2540 ถึง 2550 อันเป็นช่วงเวลาที่
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีสองสมัยติดต่อกัน ได้เกิด
วิกฤตการณ์ทางการเมือง และ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประท้วงขับไล่พันตำรวจโททักษิณออกจากตำแหน่ง หลังจากนั้น เกิด
รัฐประหาร และ
รัฐบาลทหารเถลิงอำนาจเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจัดให้มี
การเลือกตั้งขึ้นในปี 2550 ซึ่งทำให้ประเทศกลับเข้าสู่บรรยากาศประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคง
ชุมนุมขับไล่ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และ
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สืบต่อมา หลังจากพรรคพลังประชาชนถูกยุบพรรค
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงได้รับ
เลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และนำไปสู่การชุมนุมต่อต้านของ
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ[ต้องการอ้างอิง]
การเมืองการปกครองและรัฐบาล
เดิมประเทศไทยมีการปกครองแบบ
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาเป็นต้นมา จนกระทั่งมีการปกครองในลักษณะรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางแบบเด็ดขาดตั้งแต่รัชสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[44] ครั้นวันที่
24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้
ปฏิวัติในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นแบบในปัจจุบัน
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็น
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และใช้การปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเรียกรวมกันว่า
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็นฉบับที่ 18 อันกำหนดรูปแบบองค์กรบริหารอำนาจทั้งสามส่วนดังนี้
สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยผู้แทนราษฎรจำนวน 500 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตจำนวน 375 คน และมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน 125 คน
[47] อยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี; วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 150 คน มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน (รวมกรุงเทพมหานคร) และมาจากการสรรหา 73 คน
[48] โดยมีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา 7 คน
[49] อยู่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี และไม่สามารถเป็นสมาชิกวุฒิสภาติดต่อกันเกิน 1 วาระ
[49]; นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี ตามสภาผู้แทนราษฎร และไม่สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้เกิน 8 ปี
[49] นายกรัฐมนตรีมิได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แต่ได้รับการลงมติเห็นชอบโดยสภาผู้แทนราษฎร; ศาลรัฐธรรมนูญมีวาระ 9 ปี ประกอบด้วย
ตุลาการ 9 คน[49]
การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศไทยแบ่งเขตการบริหารออกเป็น (1)
ราชการส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง, ทบวง และกรม (2)
ราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่
จังหวัด 77 แห่ง, อำเภอ 877 แห่ง และตำบล 7,255 แห่ง
[51] และ (3)
ราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่
องค์การบริหารส่วนจังหวัด,
เทศบาล,
องค์การบริหารส่วนตำบล,
กรุงเทพมหานคร และ
เมืองพัทยา สำหรับ
สุขาภิบาลนั้นถูกยกฐานะไปเป็นเทศบาลทั้งหมดในปี
พ.ศ. 2542[52]
เมืองใหญ่และจังหวัดใหญ่
รายชื่อจังหวัดซึ่งมีประชากรมากที่สุดในประเทศไทย (31 ธันวาคม พ.ศ. 2553)[53]
อันดับ | เขตการปกครอง / จังหวัด | จำนวนประชากร |
— | กรุงเทพมหานคร | 5,701,394 |
1 | นครราชสีมา | 2,582,089 |
2 | อุบลราชธานี | 1,813,088 |
3 | ขอนแก่น | 1,767,601 |
4 | เชียงใหม่ | 1,640,479 |
5 | บุรีรัมย์ | 1,553,765 |
เศรษฐกิจ
กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงและศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ
ประเทศไทยมี
เศรษฐกิจแบบผสม มีรายได้หลักจากอุตสาหกรรม การส่งออกสินค้าและบริการ
การท่องเที่ยว การบริการ
เกษตรกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออก
เป็นอันดับที่ 24 ของโลก และมีมูลค่าการนำเข้า
เป็นอันดับที่ 23 ของโลก ตลาดนำเข้าสินค้าไทยที่สำคัญ ได้แก่
ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ซาอุดิอาระเบีย และ
อินโดนีเซีย[54] ข้อมูลในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ประเทศไทยส่งออกสินค้ากว่า 406,990 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักร 141,401 ล้านบาท อาหาร 52,332 ล้านบาท สินค้าอุคสาหกรรม 45,959 ล้านบาท และมีมูลค่าการนำเข้าราว 285,965 ล้านบาท โดยสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักร 113,421 ล้านบาท น้ำมันและเชื้อเพลิง 50,824 ล้านบาท และเคมีภัณฑ์ 46,376 ล้านบาท มีมูลค่าการค้าสุทธิ 121,025 ล้านบาท
[55]
ตัวชี้วัดทางเศรษฐฏิจ |
อัตราการว่างงาน | 1.5% (2553 ประมาณ) | [1] |
การเติบโตของจีดีพี | -2.8% (2552 ประมาณ) | [1] |
ภาวะเงินเฟ้อ CPI | -0.9% (2553) | [1] |
หนี้สาธารณะ | 4.27 ล้านล้านบาท (พ.ค. 2554) | [56] |
ความยากจน | 9.6% (2549 ประมาณ) | [1] |
อย่างไรก็ตาม แรงงานส่วนใหญ่ของไทยอยู่ในภาคเกษตรกรรม
[57] โดยมี
ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญที่สุดของประเทศ
[58] และถือได้ว่าเป็นประเทศซึ่งส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลก
[59] ด้วยสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 36 ของโลก
[60] ประเทศไทยมีพื้นที่ซึ่งเหมาะต่อการเพาะปลูกกว่า 27.25%
[61] ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 55% ใช้สำหรับการปลูกข้าว
[62] ส่วนพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ ได้แก่
ยางพารา ผักและผลไม้ต่าง ๆ รวมไปถึงมีการเพาะเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น
วัว สุกร เป็ด ไก่ สัตว์น้ำทั้งปลาน้ำจืด ปลาน้ำเค็มในกระชัง การทำนา
กุ้ง การเลี้ยงหอย รวมไปถึงการประมงทางทะเล เนื่องจากประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ด้านพืชพรรณธัญญาหารตลอดปี จึงได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลกเป็นอันดับที่ 5
[63]
ประเทศไทยถือว่าเป็น
ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ของโลก เคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกระหว่างปี พ.ศ. 2528-2539 (คิดเป็น 9.4% ต่อปีโดยเฉลี่ย)
[1] อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อค่า
เงินบาทอย่างเป็นอันตราย ในปี พ.ศ. 2540 อันเป็นปีที่เกิด
วิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย เศรษฐกิจไทยหดตัวลง 1.9% นายกรัฐมนตรี
ชวลิต ยงใจยุทธได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอยู่ที่ 56 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ก่อนที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในปี พ.ศ. 2542 หลังจากนั้น ระหว่างปี พ.ศ. 2545-2547 ภายใต้
นโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี
ทักษิณ ชินวัตร เศรษฐกิจไทยได้ขยายตัวกว่า 5-7% ต่อปี และ 4-5% ต่อปี ระหว่างปี พ.ศ. 2548-2550 วิกฤตการณ์การเมืองภายในประเทศได้ส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย วิกฤตการณ์การเงินทั่วโลกและความขาดเสถียรภาพทางการเมืองจะยังคงเป็นอุปสรรคขัดขวางเศรษฐกิจไทยต่อไป
[1]
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายภาพแขกต่างประเทศ ณ ค่ายหลวงหว้ากอ
ได้มีการบรรจุแผนการใช้และพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529) เป็นต้นมา แต่ในขณะนั้นยังพบว่ามีอุปสรรคด้านสมรรถภาพของประเทศในด้านวิทยาศาสตร์และเทโคโลยีของประเทศยังไม่เข้มแข็ง จนถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) จึงได้จัดแผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็น 1 ใน 10 ของแผน เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการผลิตและการแปรรูปสินค้า
[64]
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับพระสมัญญานามว่า "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" จากการที่ได้ทรงคำนวณ
สุริยุปราคาเต็มดวง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 อย่างแม่นยำ เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 โดยรัฐบาลกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็น
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ[65]
การคมนาคม
รถตุ๊กตุ๊ก รูปแบบการคมนาคมที่พบเห็นได้ทั่วไป
การคมนาคมส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะใช้การขนส่งทางบกเป็นหลัก คือ อาศัย
รถยนต์และ
จักรยานยนต์ ทางหลวงสายหลักในประเทศไทย ได้แก่
ถนนพหลโยธิน ถนนมิตรภาพ ถนนสุขุมวิท และ
ถนนเพชรเกษม นอกจากนี้ระบบขนส่งมวลชนจะมีการบริการตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ ได้แก่ระบบรถเมล์ และรถไฟ รวมถึงระบบที่เริ่มมีการใช้งาน
รถไฟลอยฟ้า และ
รถไฟใต้ดิน และในหลายพื้นที่จะมีการบริการรถสองแถว รวมถึงรถรับจ้างต่าง ๆ ได้แก่
แท็กซี่ เมลเครื่อง
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และ
รถตุ๊กตุ๊ก
สำหรับการคมนาคมทางอากาศนั้น ปัจจุบันประเทศไทยได้เปิดใช้
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งถือได้ว่าเป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยเปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่
28 กันยายน พ.ศ. 2549
[66] เพื่อใช้แทนที่
ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ส่วนการคมนาคมทางน้ำ ประเทศไทยมีท่าเรือหลัก ๆ คือ
ท่าเรือกรุงเทพ คลองเตย และ
ท่าเรือแหลมฉบัง
การท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวทำรายได้ให้กับประเทศเป็นสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับสัดส่วนของหลายๆ ประเทศในทวีปเอเชีย (ราว 6% ของจีดีพี) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมายังประเทศไทยด้วยเหตุผลหลายประการ ส่วนใหญ่มาท่องเที่ยวตามชายหาดและพักผ่อน ถึงแม้ว่าจะมี
ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ตาม
[67] โดยแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่
กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน และ
จังหวัดเชียงใหม่[12][68]
ในปี พ.ศ. 2553 มีนักท่องเที่ยวรวม 15.94 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 12.63 โดยมากกว่า 1 ใน 4 เป็นนักท่องเที่ยวจาก
อาเซียน[69]
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทหาร
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ
ยูกิโอะ ฮาโตยามะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระหว่างการเดินทางเยือนญี่ปุ่น
ปัจจุบัน ประเทศไทยได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ โดยได้เข้าไปมีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศและองค์การท้องถิ่น ประเทศไทยเป็น
พันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา และยังได้กระชับความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิก
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า การธนาคาร การเมือง และด้านวัฒนธรรม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ให้ความร่วมมือกับองค์การท้องถิ่น อาทิ
องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป[70] นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเคยส่งทหารเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออก, อัฟกานิสถาน, อิรัก
[71],
บุรุนดี[72] และปัจจุบัน ใน
ดาร์ฟูร์ ประเทศซูดาน
[73] อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านค่อนข้างตกต่ำ
[74]
กองทัพไทยแบ่งออกเป็นสามเห่ล่าทัพ ได้แก่
กองทัพบก,
ราชนาวี และ
กองทัพอากาศ ทุกวันนี้กองทัพไทยมีกำลังทหารทั้งสิ้นราว 1,025,640 นาย และมีกำลังหนุนกว่า 200,000 นาย และมี
กำลังกึ่งทหารประจำการกว่า 113,700 นาย
[75] พระมหากษัตริย์ไทยดำรงตำแหน่ง
จอมทัพไทยโดยพฤตินัย ซึ่งปัจจุบันคือ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช[75] แต่ในทางปฏิบัติ กองทัพอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจบริหารจัดการของ
กระทรวงกลาโหม มี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้สั่งการ และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ
กองบัญชาการกองทัพไทย มี
ผู้บัญชาการกองทัพไทยเป็นผู้สั่งการ เมื่อปี พ.ศ. 2553 กระทรวงกลาโหมได้รับจัดสรรงบประมาณทั้งสิ้น 154,032,478,600 บาท
[76]
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติไว้ว่าการป้องกันประเทศเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคน
[77] ชายไทยทุกคนมีหน้าที่รับราชการทหาร
[78] กองทัพจะ
เรียกเกณฑ์ชายซึ่งมีอายุย่างเข้า 21 ปี โดยอาศัยความตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 โดยจะถูกเรียกมาตรวจเลือกหรือรับเข้ากองประจำการ
[78]
ระยะเวลาทำการฝึกอยู่ระหว่าง 6 เดือนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา การศึกษาวิชาทหาร และการสมัครเข้าเป็นทหาร
[79] โดยถ้าผู้รับการตรวจเลือกสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับ
ปริญญาตรี หากจับได้สลากแดง (ใบแดง) จะต้องรับราชการ 1 ปีเต็ม หรือหากสมัครโดยไม่จับสลาก จะรับราชการเพียง 6 เดือน เป็นต้น ผู้ที่จับได้สลากดำ (ใบดำ) ไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร ถ้า
นักศึกษาวิชาทหารสำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 1 จะต้องรับราชการ 1 ปีเต็ม ถ้าสำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 2 จะต้องรับราชการ 6 เดือน และถ้าสำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 3-5 ไม่ต้องบรรจุในกองประจำการ แต่สามารถเรียกพลได้ ในฐานะทหารกองหนุนประเภท 1
[80]
ล่าสุด ทางเว็บไซต์ GlobalFirepower ได้จัดอันดับความแข็งแกร่งของกองทัพไทยอยู่อันดับที่ 19 ของโลก
[81]
ประชากร
ชนชาติ
ตามการประมาณของ CIA The World Factbook เมื่อปี พ.ศ. 2553 ประชากรทั้งหมดของประเทศไทยมีประมาณ 66,404,688 คน ประกอบด้วย
ไทยสยามประมาณร้อยละ 75
ไทยเชื้อสายจีนร้อยละ 14
ไทยเชื้อสายมลายูร้อยละ 3
[1] ประเทศไทยประสบปัญหาอัตราการเกิดต่ำกว่ามาตรฐาน โดยที่ในปี พ.ศ. 2551 อัตราการเกิดของประชากรอยู่ที่ 1.5% และมีแนวโน้มที่จะลดลงเหลือเพียง 1.45% ในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งมีสาเหตุมาจากอัตราการคุมกำเนิดที่เพิ่มสูงขึ้น โดยคิดเป็น 81% ในปี พ.ศ. 2551
[82] ซึ่งเมื่อประกอบกับอัตราการตายที่ลดลงในศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยจะมีประชากรสูงวัยมากขึ้นในอนาคต
[83]
สถิติประชากรทั่วราชอาณาจักร[84]
ปี (พ.ศ.) | จำนวนประชากร (คน) | จำนวนคนเกิด (คน) | จำนวนคนตาย (คน) |
2548 | 62,418,054 | 809,774 | 399,331 |
2549 | 62,828,706 | 802,924 | 392,044 |
2550 | 63,038,247 | 811,384 | 398,438 |
2551 | 63,389,730 | 797,356 | 401,981 |
2552 | 63,525,062 | 787,739 | 398,130 |
2553 | 63,878,267 | 766,370 | 414,888 |
ในประเทศไทยถือได้ว่ามีความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยมีทั้ง
ชาวไทย ชาวไทยเชื้อสายลาว ชาวไทยเชื้อสายมอญ ชาวไทยเชื้อสายเขมร รวมไปถึงกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีน ชาว
ไทยเชื้อสายมลายู ชาวชวา (แขกแพ)
ชาวจาม (แขกจาม) ชาวเวียด ชาวพม่า และชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ เช่น
ชาวกะเหรี่ยง ลีซอ ชาวม้ง ส่วย เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2553 ตามข้อมูลของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายอยู่ 1.4 ล้านคน โดยมีอีกเท่าตัวที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน
[85] ตามข้อมูลการอพยพระหว่างประเทศของ
สหประชาชาติ ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยมีผู้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่จำนวน 1.05 ล้านคน คิดเป็น 1.6% ของจำนวนประชากร
[86]
ประเทศไทยมีการแบ่งแยกเชื้อชาติและชาติพันธุ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านมาก โดยสนับสนุนความเป็นอิสระในแต่ละเชื้อชาติ ได้มีนักวิชาการตะวันตกเขียนเอาไว้ว่า ประเทศไทยเป็น "สังคมที่มีโครงสร้างอย่างหลวม ๆ"
[87]
ศาสนา
จำนวนผู้นับถือศาสนาในประเทศไทย[1] |
ศาสนา | | | % | |
พุทธ | | 94.6% |
อิสลาม | | 4.6% |
คริสต์ | | 0.7% |
อื่น ๆ | | 0.1% |
ประชากรไทยนับถือ
ศาสนาพุทธนิกาย
เถรวาท ประมาณร้อยละ 94.6
[88] ซึ่งถือได้ว่าเป็น
ศาสนาประจำชาติของประเทศไทยโดยพฤตินัย
[89] แม้ว่าจะยังไม่มีการบัญญัติใน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใดเลยก็ตาม รองลงมา ได้แก่
ศาสนาอิสลามประมาณร้อยละ 4.6
[88] ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยทางภาคใต้ตอนล่าง และยังมีชุมชนชาวสิกข์และชาวฮินดูในประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีอิทธิพลต่อประเทศอยู่ไม่น้อย สำหรับ
ประชาคมชาวยิวนั้น มีประวัติยาวนานตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17
ภาษา
ประเทศไทยมี
ภาษาไทยเป็น
ภาษาทางการ และเป็นภาษาหลักที่ใช้ติดต่อสื่อสาร การศึกษาและเป็นภาษาพูดที่ใช้กันทั่วประเทศ โดยใช้
อักษรไทยเป็นรูปแบบมาตรฐานในการเขียน ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นอย่างเป็นทางการในสมัยสุโขทัยโดย
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช นอกเหนือจากภาษาไทยกลางแล้ว ภาษาไทยสำเนียงอื่นยังมีการใช้งานในแต่ละภูมิภาคเช่น
ภาษาไทยถิ่นเหนือในภาคเหนือ
ภาษาไทยถิ่นใต้ในภาคใต้ และ
ภาษาไทยถิ่นอีสานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นอกเหนือจากภาษาไทยแล้ว ในประเทศไทยยังมีการใช้งานภาษาของชนกลุ่มน้อยเช่น
ภาษาจีนโดยเฉพาะ
สำเนียงแต้จิ๋ว ภาษาลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งบางครั้งนิยามว่าภาษาลาวสำเนียงไทย
ภาษามลายูปัตตานีทางภาคใต้ นอกจากนี้ก็มีภาษาอื่นเช่น
ภาษากวย ภาษากะยาตะวันออก ภาษาพวน ภาษาไทลื้อ ภาษาไทใหญ่ รวมไปถึงภาษาที่ใช้กันในชนเผ่าภูเขา ประกอบด้วย
ตระกูลภาษามอญ-เขมร เช่น
ภาษามอญ ภาษาเขมร ภาษาเวียดนาม และ
ภาษามลาบรี;
ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน เช่น
ภาษาจาม;
ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต เช่น
ภาษาม้ง ภาษากะเหรี่ยง และ
ภาษาไตอื่น ๆ เช่น
ภาษาผู้ไท ภาษาแสก เป็นต้น
ภาษาอังกฤษและ
อักษรอังกฤษมีสอนในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย แต่จำนวนผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องในประเทศไทยยังคงมีจำนวนน้อยอยู่ และส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตเมืองและในครอบครัวที่มีการศึกษาดีเท่านั้น ซึ่งในด้านความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษนั้น จากที่ประเทศไทยเคยอยู่ในระดับแนวหน้าในปี พ.ศ. 2540 แต่เมื่อกลางปี พ.ศ. 2549 ไทยกลับล้าหลังประเทศลาวและ
ประเทศเวียดนาม[90]
การศึกษา
การศึกษาภาคบังคับในประเทศไทยเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2464
[91] ตามกฎหมายไทย รัฐบาลจะต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแบบให้เปล่าแก่ประชาชนเป็นเวลา 12 ปี ส่วนการศึกษาภาคบังคับในปัจจุบันกำหนดไว้ 9 ปี ระบบโรงเรียนที่ถูกจัดไว้มีตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล
ประถมศึกษา และ
มัธยมศึกษาตอนต้นตามลำดับ แต่หลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว บุคคลสามารถเลือกได้ระหว่างศึกษาต่อสายสามัญในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเลือกศึกษาสายวิชาชีพ หรืออาจเลือกศึกษาต่อในสถาบันทางทหารหรือตำรวจ
ในการศึกษาต่อในระดับ
อุดมศึกษาในประเทศไทย นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะต้องผ่าน
ระบบการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งโดยปกติจะเสร็จสิ้นในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 มหาวิทยาลัยในประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้แก่
มหาวิทยาลัยมหิดล และ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งติดอยู่ในอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชียจาก QS Asian University Rankings 2011
[92]
แต่กระนั้น ก็ยังมีการเป็นห่วงในประเด็นทางด้าน
ระดับเชาวน์ปัญญาของเยาวชนชาวไทย ซึ่งจากการศึกษาของ
หนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่นได้รายงานว่า "กรมอนามัยและกรมสุขภาพจิตจะต้องรับมือกับความฉลาดที่ต่ำลง หลังจากได้พบว่าระดับเชาวน์ปัญญาโดยเฉลี่ยในกลุ่มเยาวชนต่ำกว่า 80"
[93] วัชระ พรรณเชษฐ์ได้รายงานในปี
พ.ศ. 2549 ว่า "ค่าเฉลี่ยของระดับเชาวน์ปัญญาของเด็กไทยอยู่ระหว่าง 87-88 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับ 'ต่ำกว่ามาตรฐาน' จากการจัดระดับในระดับสากล"
[94] ปัญหาในการศึกษาไทย พบว่าการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนยังจำกัดอยู่มาก
[95]
วัฒนธรรม
วัฒนธรรมไทยได้รับเอาวัฒนธรรมอินเดีย จีน ขอมและดินแดนบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาอย่างมาก
พุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเอกลักษณ์และศรัทธาของไทยสมัยใหม่ ทำให้
พุทธศาสนาในประเทศไทยได้มีการพัฒนาตามกาลเวลา ซึ่งรวมไปถึงการรวมเอาความเชื่อท้องถิ่นที่มาจาก
ศาสนาฮินดู การถือผี และการบูชาบรรพบุรุษ ส่วนชาวมุสลิมอาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามามีส่วนสำคัญอยู่ในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและใกล้เคียง ซึ่งการปรับตัวเข้ากับสังคมไทยได้เป็นอย่างดี ทำให้กลุ่มชาวจีนได้มีตำแหน่งในอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง
วัฒนธรรมไทยมีส่วนที่คล้ายคลึงกับวัฒนธรรมเอเชีย กล่าวคือ มีการให้ความเคารพแก่บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นการยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน ชาวไทยมักจะมีความเป็นเจ้าบ้านและความกรุณาอย่างดี แต่ก็มีความรู้สึกในการแบ่งแยกลำดับชั้นอย่างรุนแรงเช่นกัน ความอาวุโสเป็นแนวคิดที่สำคัญในวัฒนธรรมไทยอย่างหนึ่ง ผู้อาวุโสจะต้องปกครองดูแลครอบครัวของตนตามธรรมเนียม และน้องจะต้องเชื่อฟังพี่
การทักทายตามประเพณีของไทย คือ
การไหว้ ผู้น้อยมักจะเป็นผู้ทักทายก่อนเมื่อพบกัน และผู้ที่อาวุโสกว่าก็จะทักทายตอบในลักษณะที่คล้าย ๆ กัน สถานะและตำแหน่งทางสังคมก็มีส่วนต่อการตัดสินว่าผู้ใดควรจะไหว้อีกผู้หนึ่งก่อนเช่นกัน การไหว้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ในการให้ความเคารพและความนับถือแก่อีกผู้หนึ่ง
ศิลปะ
จิตรกรรมไทยเป็นลักษณะอุดมคติ เป็นภาพ 2 มิติ โดยนำสิ่งใกล้ไว้ตอนล่างของภาพ สิ่งไกลไว้ตอนบนของภาพ ใช้สีแบบ
เอกรงค์ คือ ใช้หลายสี แต่มีสีที่โดดเด่นเพียงสีเดียว
[96]
ประติมากรรมไทยเดิมนั้นช่างไทยทำงานประติมากรรมเฉพาะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป เทวรูป โดยมีสกุลช่างต่างๆ นับตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย เรียกว่า สกุลช่างเชียงแสน สกุลช่างสุโขทัย อยุธยา และกระทั่งรัตนโกสินทร์ โดยใช้ทองสำริดเป็นวัสดุหลักในงานประติมากรรม เนื่องจากสามารถแกะแบบด้วยขี้ผึ้งและตกแต่งได้ แล้วจึงนำไปหล่อโลหะ เมื่อเทียบกับประติมากรรมศิลาในยุคก่อนนั้น งานสำริดนับว่าอ่อนช้อยงดงามกว่ามาก
สถาปัตยกรรมไทยมีปรากฏให้เห็นในชั้นหลัง เนื่องจากงานสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ชำรุดทรุดโทรมได้ง่าย โดยเฉพาะงานไม้ ไม่ปรากฏร่องรอยสมัยโบราณเลย สถาปัตยกรรมไทยมีให้เห็นอยู่ในรูปของบ้านเรือนไทย โบสถ์ วัด และปราสาทราชวัง ซึ่งล้วนแต่สร้างขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและการใช้สอยจริง
อาหารไทย
อาหารไทยเป็นการผสมผสานรสชาติความหวาน ความเผ็ด ความเปรี้ยว ความขมและความเค็ม ส่วนประกอบซึ่งมักจะใช้ในการปรุงอาหารไทย รวมไปถึง
กระเทียม พริก น้ำมะนาว และ
น้ำปลา และวัตถุดิบสำคัญของอาหารในประเทศไทย คือ
ข้าว โดยมีข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือเป็นพื้น มีคุณลักษณะพิเศษ คือ ให้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน และให้สรรพคุณทางยาและสมุนไพร
[63] ตามสถิติพบว่า ชาวไทยรับประทานข้าวขาวมากกว่า 100 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
[97] อาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของคนไทย คือ น้ำพริกปลาทู พร้อมกับเครื่องเคียงที่จัดมาเป็นชุด
[98]
วัฒนธรรมสมัยนิยมได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินของคนไทย โดยหันมาบริโภค
อาหารจานด่วนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคจากภาวะโภชนาการเกิน แต่กลับไม่สามารถขจัดโรคขาดสารอาหารได้
[63]
ภาพยนตร์ไทย
จำรัส สุวคนธ์ และ มานี สุมนนัฎ ดาราคู่แรกของไทย
ภาพยนตร์ไทยมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกถ่ายทำในเมืองไทย คือ เรื่อง
นางสาวสุวรรณ ผู้สร้าง คือ
บริษัทภาพยนตร์ ยูนิเวอร์ซัล ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ผู้แสดงทั้งหมดเป็นคนไทย
[99] พ.ศ. 2470 ภาพยนตร์เรื่อง
โชคสองชั้น เป็นภาพยนตร์ขนาด 35 มิลลิเมตร ขาว-ดำ ไม่มีเสียง ได้รับการยอมรับให้เป็น
ภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทย
[100]
ในช่วงหลัง
พ.ศ. 2490 ถือเป็นช่วงยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์ไทย สตูดิโอถ่ายทำและภาพยนตร์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น หลังจากนั้นประเทศไทยเข้าสู่ช่วง
สงครามโลกครั้งที่ 2 ถือเป็นช่วงซบเซาของภาพยนตร์ไทย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง กิจการภาพยนตร์ในประเทศไทยค่อย ๆ ฟื้นคืนกลับมา ได้เปลี่ยนไปสร้างเป็นภาพยนตร์ขนาด 16 มิลลิเมตรแทน และเมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะคับขัน ภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้แสดงบทบาทของตนในฐานะกระจกสะท้อนปัญหาการเมือง และสังคม ในช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2516-2529 ต่อมาภาพยนตร์ไทยในช่วงปี พ.ศ. 2530-2539 โดยในตอนต้นทศวรรษวัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ นอกจากภาพยนตร์ประเภทวัยรุ่นแล้ว หนังผี และหนังบู๊ รวมทั้งหนังโป๊ และหนังเกรดบี ก็มีการผลิตมามากขึ้น
ปัจจุบันประเทศไทยมีภาพยนตร์ที่มุ่งสู่ตลาดโลก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง
ต้มยำกุ้ง ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนตาราง
บ็อกซ์ออฟฟิสใน
สหรัฐอเมริกา และยังมีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่เป็นที่ยอมรับใน
เทศกาลภาพยนตร์ ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่อง
ลุงบุญมีระลึกชาติ กำกับโดย
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ได้รับ
รางวัลปาล์มทองคำ จากงาน
เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 63 นับเป็นภาพยนตร์จากภูมิภาค
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้
[101]
วันสำคัญ
วันสำคัญในประเทศไทยจะมีจำนวนมากโดยเฉพาะวันที่ไม่ใช่วันหยุดราชการ ซึ่งจะตั้งขึ้นหลังจากมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น โดย
วันชาติของประเทศไทยในปัจจุบัน ใช้วันพระราชสมภพของ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งตรงกับวันที่
5 ธันวาคมของทุกปี
[102]
กีฬา
มวยไทย กีฬาประจำชาติของไทย
กีฬาซึ่งเป็นของชาวไทยแท้ คือ
มวยไทย ซึ่งถือได้ว่าเป็นกีฬาประจำชาติของไทยโดยพฤตินัย เป็น
ศิลปะการต่อสู้ที่เผยแพร่ออกไปทั่วโลก โดยมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับศิลปะการต่อสู้ของประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ นอกจากนี้ กีฬาอื่นที่รู้จักกันว่าเป็นของไทย เช่น
ตะกร้อ
ส่วนกีฬาที่กำลังเติบโตในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ได้แก่
รักบี้และ
กอล์ฟ โดยผลงานของนักกีฬารักบี้ทีมชาติไทย ทำผลงานได้ถึงอันดับที่ 61 ของโลก
[103] ประเทศไทยยังเป็นประเทศแรกที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรักบี้ทัวร์นาเมนต์รุ่นเวลเทอร์เวท 80 กิโลกรัมในปี พ.ศ. 2548
[104] ส่วนกีฬากอล์ฟนั้น ไทยได้รับสมญานามว่าเป็น "เมืองหลวงของกอล์ฟในทวีปเอเชีย"
[105] ในประเทศไทย มีสนามกอล์ฟคุณภาพระดับโลกกว่า 200 แห่ง
[106] ซึ่งดึงดูดนักกอล์ฟจำนวนมากจากเกาหลี สิงคโปร์ ญี่ปุ่น แอฟริกาใต้และประเทศตะวันตกทุกปี
[107]
สำหรับผลงานทางด้านกีฬา ประเทศไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาในระดับโลกหลายอย่าง เช่น
โอลิมปิกฤดูร้อน โอลิมปิกฤดูหนาว เอเชียนเกมส์ และ
ซีเกมส์ ซึ่งประเทศไทยเองได้รับสิทธิเป็นผู้จัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 4 ครั้ง และซีเกมส์ 6 ครั้ง นอกจากนี้ยังเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน
เอเชียนคัพและ
ฟุตบอลโลกหญิงเยาวชน อีกด้วย
สมรักษ์ คำสิงห์เป็นนักกีฬาชาวไทยคนแรกผู้คว้าเหรียญทองในการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นใน
โอลิมปิกฤดูร้อน 1996